ในบทนี้ครูจะนำบทงานเขียนที่ปรากฏอยู่ในรายงานกระบวนวิชา บทบาทพระพุทธศาสนากับสังคมไทย ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง มาให้เป็นแนวนทางสำหรับทุก ๆ ท่านได้นำเป็นแนวทางในการวิเคราะห์วรรณกรรม ถึงแม้วว่าจะไม่ละเอียดมากนักและไม่ตรงตามหลักการวิเคราะห์เสมอไป ครูก็อยากให้ผู้อ่านได้ความรู้จากเนื้อหานี้บ้างไม่มากก็น้อยครับ
บทที่
๘
การเข้ามามีบทบาทและอิทธิต่อความคิดของกวี
ในวรรณกรรม ของพระพุทธศาสนา
เขียนโดย
สุรเดช ภาพันธ์
สังคม
มีมนุษย์ที่อยู่รวมกันเป็นส่วนสำคัญ ความคิด การกระทำ การแสดงออก
และทัศนะความคิดเห็นเป็นสิ่งที่มนุษย์กระทำ โดยเลียนแบบซึ่งกันและกันทั้งความดีและความเลว
กวีเป็นอีกผู้หนึ่งในสังคมที่สรรสร้างบทความทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง
ออกมาเพื่อถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึก ความนึกคิดของสังคม และความเป็นไปแห่งจิตนาการ
เมื่อมนุษย์มีชีวิต
สิ่งที่ใหญ่หลวงเหลือเกินของมนุษย์ในห้วงหนึ่ง ที่ย่อมปรารถนาให้ประสบพบเจอ นั้นก็คือ
ความรัก ไม่ว่าความรักนั้นจะเป็นสิ่งใด ๆ เป็นความจริงอันประเสริฐ
หรือความทุกข์เลวร้ายอันระทม มนุษย์ต่างแสวงหา
หรือแม้กระทั่งฉุดคร่านเอามาเพื่อเป็นเจ้าของ เป็นผู้ปกครองของมัน
บทกวีส่วนใหญ่จึงใช้อารมณ์แห่งปรารถนานี้เป็นส่วนหลักในการสร้างผลงานวรรณกรรม
แต่ในสภาพสังคมไทยที่มีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาหลักและเป็นศูนย์รวมทางจิตใจ
จึงไม่น่าจะต้องสงสัยที่บทบาทและอิทธิพลของพระพุทธศาสนาจึงเข้ามามีบทบาทและความสำคัญ
ต่องานวรรณกรรมไม่ว่าจะเป็นสมัยใด จากอดีตจนถึงปัจจุบัน
ในบทนี้ผู้เขียนและคณะได้ช่วยกันออกค้นหาข้อมูล
และงานวรรณกรรมต่าง ๆ เพื่อนำมาสรุปว่า ณ ปัจจุบัน
บทบาทของพระพุทธศาสนายังคงมีความสำคัญต่อผลงานทางด้านวรรณกรรมหรือไม่
และเป็นไปในลักษณะอย่างไร
สำหรับผู้เขียนเอง
เป็นผู้ที่สนใจและศึกษาอยู่ในวงการภาษาไทยมาบ้างพอสมควร
ประกอบกับได้เข้าศึกษาในกระบวนวิชาโท เป็นด้านภาษาไทยโดยตรง
จึงมีความรู้ในด้านการแต่งบทประพันธ์และการวิจักษ์วรรณคดี หรือการวิเคราะห์วิจัย
และตีความจากงานเขียน หรือผลงานวรรณกรรม
ความหมายโดยรวมของคำว่า วรรณกรรม
ก็คือผลงานเขียนที่แต่งถ่ายทอดออกมาจากจิตนาการหรืออาจจะเป็นเรื่องราวที่เป็นกึ่งความจริงหรือเป็นความจริงเลยก็ได้ ทั้งนี้จากการให้ความหมายของพจนานุกรม
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ปีพุทธศักราช ๒๕๔๒
ได้ให้ความหมายว่า “ งานหนังสือ หรืองานนิพนธ์ ไม่ว่าแสดงออกมาโดยวิธีหรือรูปแบบอย่างใด
เช่นหนังสือ จุลสาร เป็นต้น”
สำหรับงานวรรณกรรมเองในปัจจุบัน
มีความหมายที่ปลีย่อยมากเกินว่าจะรียนว่าวรรณกรรมคือ นวนิยาย หรือนิยาย แต่เพียงอย่างดียว ทั้งนี้หากจะแยกเอาความหมายโดยแท้จริงของวรรณกรรม
ก็จะต้องแยกเป็นสองหัวข้อหลักใหญ่ ๆ คือ
-วรรณกรรมที่เป็นประเภท
ร้อยกรอง เช่นเสภาขุนช้างขุนแผน อิเหนา
พระอภัยมณี เป็นต้น
-วรรณกรรมที่เป็นประเภท
ร้อยแก้ว เช่น นวนิยาย สารคดี
งานเขียนอื่น ๆ โดยทั่วไป
โดยการแต่งไม่คำนึงถึงการเขียนให้มีสัมผัสคล้องจองแต่อย่างใด
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับการศึกษาเรื่องบทบาทและอิทธิพลของพระพุทธศาสนาต่อวรรณกรรม
นี้ เห็นได้จะมาจากการที่ได้อ่านนวนิยาย นิยาย บทกวี งานวรรณกรรม
ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง ที่หากมิใช่ผลงานวรรณกรรมแปลแล้ว ผลงานวรรณกรรมนั้น ๆ
มักจะมีส่วนที่แสดงอิทธิพลของพระพุทธศาสนาทั้งทางตรงและทางอ้อม
ซึ่งผู้อ่านจะทราบได้เองโดยการรับสารจากการอ่าน
จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า หากเราจะกล่าวว่า ณ ปัจจุบัน บทบาทของพระพุทธศาสนา
ในสังคมไทยมีน้อยมากแล้ว เหตุใด งานวรรณกรรมซึ่งเป็นผลงานที่มีความสำคัญต่อมนุษย์
ซึ่งอยู่ร่วมกันในสังคมจึงยังคงมีบทบาทนี้อยู่และเหตุใด
วรรณกรรมโดยส่วนมากจึงคงไว้ซึ่งบทบาทนี้
ในเมื่อกวีที่แต่งวรรณกรรมก็เป็นผลพลอยจากการสรรสร้างของสังคมเช่นกัน
ในเอกสารประกอบคำบรรยาย
กระบวนวิชา TH
๒๕๗ วรรณคดีวิจักษณ์
เป็นกระบวนวิชาหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงกระบวนวิธีในการพิจารณาสังเกต
บทวรรณกรรมต่าง ๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งแท้จริงแล้ว
นักศึกษาที่ศึกษาในกระบวนวิชานี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งหากนำไปใช้ในการเรียนรู้การแปลวรรณกรรมเก่าแก่ของไทย และจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
หากผู้ศึกษาได้คิดวิเคราะห์และจับสังเกตได้ว่า วรรณกรรที่เป็นของไทย
ในอดีตทั้งหมดมีบทบาทพระพุทธศาสนาแทรกซึมอยู่ทั้งทางตรงและทางอ้อม
และงานวรรณกรรมของไทย ที่แต่งขึ้นจากกวีหรือนักเขียนคนไทย ในปัจจุบัน
ก็มักจะมีบทบาทของพระพุทธศาสนาอยู่ทั้งที่แสดงออกมาทางตรงและโดยอ้อม
ขึ้นอยู่กับเนื้อหาของบทวรรณกรรมนั้น ๆ
จึงเกิดคำถามค้างคาใจขึ้นมาว่า จะเป็นไปได้ไหมว่า แม้ปัญหาทางสังคมจะมีมากขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงไปของจิตใจมนุษย์ที่พึ่งพาความสะดวกสบายจากเทคโนโลยี
และอำนาจแห่งไสยศาสตร์ ทำให้จิตใจตกต่ำ และขุ่นมั่ว
แต่กระนั้นก็ตามอย่างที่กล่าวไว้ในบทที่ผ่านมาว่า
แม้สังคมจะมีปัญหาแต่ก็ใช่ว่าบทบาทของพระพุทธศาสนาจะแปรเปลี่ยนไป โดยสิ้นเชิงไม่
อย่างน้อย การที่พระพุทธศาสนาได้ปรับตนให้เข้ากับสังคมได้ แม้จะเป็นไปในทางที่พระพุทธเจ้าไม่ตรัสสรรเสริญ
แต่ก็นับว่า
เป็นความสำเร็จหนึ่งซึ่งทำให้สังคมไทยยังไม่คลายความเชื่อและวิถีทางแห่งบาทบาทและอิทธิพลของพระพุทธศาสนา
เช่นนั้น เป็นไปได้ไหมว่า
สังคมไทยยังมีสิ่งที่ช่วยประครองให้บทบาทของพระพุทธศาสนาไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก
มาจากวรรณกรรมที่คงอยู่ของบทบาทและความสำคัญของพระพุทธศาสนา จากการศึกษาเนื้อเรื่องวรรณกรรมเก่าแก่ของไทย
หลากหลายเรื่อง ท่านจะพบบทกวี ที่ผู้ที่ไม่คุนชินกับการอ่านวรรณกรรมประเภทร้อยกรอง
จะต้องแปลกใจ บทความนี้จะกล่าวไปตามเนื้อหาของบทละครแล้วจู่
ๆ ก็จะเกิดปรากฏการณ์ฟ้าร้อง ฝนตก โดยไม่มีบทรองรับ
หรือกำลังกล่าวถึงชายหญิงคู่หนึ่งอยู่ดี ๆ
ก็บังเกิดบทกล่าวเอ่ยถึงแมลงภู่กับดอกไม้
หรือไม่ก็กล่าวถึงการเล่นว่าวปักเป้ากับว่าวกุลา
ไม่เช่นนั้นก็เกิดบทร้อยกรองที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อความก่อนหน้านี้
อย่างทันทีทันใด เป็นบทรามสูร กับนางเมขลา ล่อแก้วเป็นต้น สิ่งเหล่านี้คืออะไร
และเกี่ยวข้องกันอย่างไร
บทที่สืบเนื่องต่อจากบทรักชายหญิง
ที่กวีใช้คำร้อยกรองมาเรียงต่อความโดยไม่มีเนื้อความที่เนื่องเกี่ยวกันนั้น
แท้จริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ หากแต่สิ่งที่กล่าวถึงนั้นมีความเกี่ยวเนื่อง ข้องสัมพันธ์กันโดยหลักแล้วแท้จริง
เพราะบทที่กล่าวถึงนั้น คือบทอัจศจรรย์ หรือบทเข้าพระเข้านาง
หรือบทความสัมพันธ์ทางเพศ
เราจะมองเห็นได้ว่า
การแสดงออกของกวีในบทประพันธ์นั้น ๆ
เป็นการแสงออกที่สืบเนื่องมาจากความคิดความเชื่อทางศาสนาเป็นสำคัญ เพราะเรามิอาจจะปฏิเสธได้ว่า
ศาสนามีผลต่อความคิดและการกระทำของผู้คนในสังคม
สังคมได้รับการหล่อหลอมจากธรรมที่มาจากศาสนาเป็นสำคัญ ดังนั้นบทอัศจรรย์ที่ยกกล่าวมานี้
จึงเป็นผลที่แสดงออกมาให้เราเห็นได้ชัดเจนว่า บทบาทและอิทธิพลของพระพุทธศาสนามีส่วนสำคัญต่อสังคมและวรรณกรรม
อยู่ไม่มากก็น้อย
สังคมยังต้องการรับความบันเทิงใจและการหย่อนใจจาก
บทวรรณกรรม ละคร เรื่องเล่า อยู่
ดังนั้นกวี หรือนักประพันธ์จึงยังมีความสำคัญต่อความเป็นไปแห่งสังคม
และยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้วาทะทางธรรมะและคติความเชื่อความคิด และบทบาทของพระพุทธศาสนายังคงมีบทบาทอยู่ในทุกการณ์เวลา ในอดีตจนถึงปัจจุบัน
สังคมไทยสรรสร้างกวีขึ้นมามากมาย มีทั้งที่เป็นหน้าใหม่ และที่เก่าแก่ ถึงพริกถึงข่า
ก็มีมาก กวีเหล่านั้นมีส่วนสำคัญจริงหรือที่ทำให้บทบาทและอิทธิพลของพระพุทธศาสนาของสังคมไทยยังคงมีอยู่ และกวีเหล่านี้ใช้อะไรเป็นหลักในการถ่ายทอดและแสดงให้เห็นว่าบทบาทเหล่านี้ยังมีอิทธิพลต่องานเขียนอยู่จริง
หลายชีวิต
บทประพันธ์ของหม่อมราชวัง คึกฤทธิ์ ปราโมช
คงเป็นคำตอบที่ดีสำหรับการตอบคำถามที่คาใจอยู่นี้ มากทีเดียว
จากบทย่อหลังปกของนิยายเล่มนี้ กล่าวว่า
“ หลายชีวิต......
หลายชีวิตที่แตกต่างกัน
คนละวัย
คนละเพศ
คนละอาชีพ
แต่มาจมลงพร้อมกัน
ณ
สถานที่เดียวกัน
และเวลาเดียวกัน ”
มูลเหตุแห่งคำถาม
ที่ถามว่า หลายชีวิตนี้เหตุใดจึงมีจุดจบที่เหมือนกัน ทั้งที่
มีความเป็นมาแห่งชีวิตที่ต่างกัน มีแหล่งกำเนิดที่ต่างกัน คำถามนี้ ท่าน คึกฤทธิ์
ได้ประสบกับตนเองมาก่อน ก่อนที่จะเริ่มต้นเขียนนิยายที่เป็นเรื่องสั้นหลาย ๆ
เรื่องแต่งรวมกัน ขึ้น และให้ชื่อเรื่องว่า “หลายชีวิต” จากคำนำจากผู้เขียนคือท่าน
ศึกฤทธิ์ กล่าวไว้ได้ใจความสำคัญว่า สาเหตุที่ท่านเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา
มูลเหตุนั้น มาจากที่ท่านได้นั่งรถยนต์ไปเที่ยวกับคณะนักเขียน ไปยังศรีราชา
ระหว่างที่กำลังเดินทางนั้นท่านและคณะก็ได้ประสบเห็นรถตกสะพาน มองเห็นซากรถ
ในคณะร่วทั้งท่าน ศึกฤทธิ์
ก็ได้วิจารณ์กันว่าคงมีผู้คนล้มหายตายจากในกรณีเป็นมากทีเดียวแน่ ก็มีตอนหนึ่งคนหนึ่งพูดขึ้นมาแบบคนโบราณว่า “ทำบุญทำกรรมอะไรกันมาหนอ
ต่างคนก็ต่างชีวิต มาจากไหนกันก็ไม่รู้ แต่ทำไมถึงมาตายพร้อมกัน” จากมูลเหตุแห่งคำถามนั้น
ก็กลายมาเป็นประเด็นที่ท่านศึกฤทธิ์และคณะเห็นว่า ทำไมไม่แต่งขึ้นเป็นบทประพันธ์
โดยเขียนเป็นเรื่องสั้น หลาย ๆ เรื่องรวมกัน โดยหลาย ๆ ท่านแต่งร่วมกัน แต่กระนั้นก็ตาม
เมื่อท่านคึกฤทธิ์ได้แต่งโดยเริ่มเรื่อง “ไอ้ลอย”ไปตีพิมพ์ก่อน ก็ปรากฏว่าจากที่รับปากกันไว้ว่าจะร่วมกันแต่งเรื่องสั้นนี้
ก็ไม่เป็นไปตามที่กล่าวไว้
ท่านคึกฤทธิ์จึงต้องรับงานเขียนนี้นเองแต่ท่านเพียงผู้เดียว
จากที่กล่าวมาแล้วท่านจะเห็นได้ว่า
แม้ว่าบทประพันธ์ “หลายชีวิต”
จะไม่ได้แสดงออกถึงความมีบทบาทและอิทธิพลของพระพุทธศาสนาต่อสังคมไทย
แต่เราก็สังเกตได้ว่ามูลเหตุที่ท่านคึกฤทธิ์และคณะได้ตั้งใจจะเขียนเรื่องสั้นนี้
เป็นนิยาย ก็มาจากสิ่งแรกคือ “มูลเหตุกรรมใดที่นำมาเป็นเช่นนี้” จากที่กล่าวนี้ ท่านจะเห็นได้ว่า
มูลเหตุแห่งการเขียนนิยายกาจากอิทธิพลของพระศาสนา เป็นหลักใหญ่ อย่างน้อยที่สุด
กฏแห่งกรรมก็เป็นสิ่งหนึ่งที่บันดาลใจให้ท่านคึกฤทธิ์และนักเขียนทุกท่านใช้เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลและเป็นแรงบันดาลใจในการเขียน
มีผู้กล่าวว่ากวีหรือนักเขียนก็เหมือนกับจิตกร
นักวาดภาพ เพราะทั้งงานเขียนและภาพวาดต้องอาศัยแรงบันดาลใจเป็นสำคัญ
หลายชีวิตจึงเป็นหนึ่งในบทประพันธ์ที่กล่าวถึงความมีอิทธิพลของพระพุทธศาสนาต่อสังคมไทยได้เป็นอย่างดี
น้อยจากจะมีมูลเหตุที่กล่าวไปแล้วนั้น ในเนื้อเรื่องที่เป็นเรื่องสั้น หลาย ๆ
เรื่องต่อกันนั้น บทเรื่องสั้นนั้น ๆ
ก็แสดงออกมาให้เห็นถึงความมีบทบาทและอิทธิพลของพระพุทศาสนาอยู่ไม่มากก็น้อย
แต่เรื่องที่จะไม่มีความเกี่ยวข้องเลยนั้น
หากได้มีในบทประพันธ์ของท่านคึกฤทธิ์ไม่
จึงกล่าวได้ว่าศาสนาก็เป็นส่วนสำคัญไม่น้อยต่อบทวรรณกรรมชิ้นต่าง ๆ
นอกจากรวมเรื่องสั้น
ที่นำมาร้อยเรียงเป็นนิยาย “หลายชีวิต”
จะแสดงสื่อถึงความเป็นไปของบทบาทและอิทธิพลของพระพุทธศาสนาแล้ว
ในเนื้อเรื่องของเรื่องสั้นบางบทยังมีความคุ้นเคืองที่ผู้อ่านจะต้องใช้วิจารณาญเป็นส่วนประกอบ
ยกตัวอย่างเช่น “ละม่อม”
บทเรื่องสั้น “ละม่อม”
เป็นบทประพันธ์ที่ท่านคึกฤทธิ์แสดงออกถึงความคิดที่แปลกไปจากเรื่องสั้นในนิยาย “หลายชีวิต” อื่น ๆ
ที่กล่าวว่าแปลกนั้นมาจากการที่ยกบทมาตุฆาต หรือการฆ่ามารดาของละม่อม
เป็นเหตุแสดงออกมา
ชีวิตของละม่อนนั้นเป็นชีวิตที่ต้องอยู่ในสภาพที่เก็บกด
และทนรับภาระที่ตนได้รับการบังคับ และการด่าทอ
มารดาที่ไม่เปิดโอกาสให้แก่ละม่อม ไม่ให้โอกาสทางการศึกษา
ไม่คิดที่จะส่งเสริมเรื่องใด ๆ ละม่อมอยู่กับสิ่งเหล่านี้ด้วยคำว่ากตัญญู
โดยยินดีที่จะกระทำทุกสิ่งเพื่อให้มารดาของตนมีความสุข มารดาของละม่อนก็หาได้เป็นผู้ที่มีจิตใจดีเฉกเช่นบุตรของตนไม่
กลับซ้ำร้าย
เมื่อละม่อมต้องแลกความรักกับชายที่ตนใฝ่หาและต้องการที่จะอยู่ร่วมชีวิต
ละม่อมถูกมารดาของตนใช้ความว่ากตัญญูเป็นมูลเหตุที่กักขังและจองจำชีวิตของละม่อมให้โดดเดี่ยวและเดียวดายตลอดไป จดหมายสองสามฉบับที่สนิท
ชายผู้เป็นที่รักและแสงสว่างแห่งชีวิตที่มืดมน เขียนมาส่งให้กับละม่อน
เพื่อทวงสัญญาที่จะอยู่ด้วยกัน และอีกสองฉบับต่อมาเป็นการเขียนเชิงน้อยใจของสนิทที่ละม่อมมิได้เห็นใจต่อความรักและสุดท้ายด้วยจดหมายลาเพื่อไปแต่งงานกับหญิงที่ตนรัก
มาตุฆาตเกิดขึ้นในคืนที่ละม่อมพบซองจดหมายและเนื้อความทั้งหมด มารดาของละม่อนไม่มีลมหายใจเสียแล้ว
ละม่อมใช้แรงที่มีอยู่ทั้งหมดกดหมอนใบที่มารดใช้หนุนนอน กดเข้าไปที่ใบหน้าของมารดา
และทุกสิ่งก็สิ้นไป
คำถามที่เกิดขึ้นอยู่ในใจของผู้อ่านคือละม่อม
ผิดหรือไม่
บางท่านคงกล่าวว่าผิดเป็นแน่ และบางท่านก็อาจนึกชั่งในใจว่าควรจะตอบคำถามอย่างไรดี ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร
จะเป็นความผิดที่ควรแก่การประจานหรือการว่ากล่าวอย่างรุนแรง
หรือจะเป็นความคิดที่ว่าเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุปัจจัยแห่งตัวของมัน
ไม่ว่าความคิดที่กล่าวถึงละม่อม จะเป็นไปในทิศทางใด
สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคนที่อ่านและรับทราบ คือ
การเป็นผู้ตกอยู่ในอิทธิพลและความมีบทบาทของพระพุทธศาสนา
ที่กล่าวนี้
บางท่านอาจจะกล่าวเป็นไปไม่ได้ แต่กระนั้นก็ตามผู้เขียนใคร่ขอให้ท่านได้พิจารณาว่า
ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่กล่าวถึงความมีเมตตาธรรมเป็นสิ่งแรกใช่หรือไม่ หากใช่แล้ว
หลักมนุษยธรรม ที่เป็นหลักที่ไม่อิงกับศาสนาใด ก็ย่อมเหมือนกับหลักธรรมความคิดนี้เป็นแน่แท้
การตกเป็นผู้อยู่ภายใต้อิทธิพลของพระพุทธศาสนาหาเป็นเพราะท่านนับถือศาสนาพุทธเพียงอย่างเดียวไม่
การที่ท่านอยู่ในสังคมที่โอบอุ้มด้วยพระศาสนาก็เป็นสิ่งที่กล่าวได้แล้วว่า
ท่านเป็นผู้อยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งสังคม โดยสังคมได้รับอิทธิพลต่อจากพุทธศาสนา
ด้านหลักธรรม ความคิดที่เกิดขึ้นในใจ
หลักจากที่ผู้อ่านได้อ่านเรื่องสั้น “ละม่อม”
เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นผู้หนึ่งในสังคมของผู้อ่านท่าน นั้น ๆ
แม้ว่าท่านจะไม่ได้นับถือพุทธศาสนาก็มิอาจจะปฏิเสธได้ว่า
สังคมไทยไม่ได้อิทธิพลจากพระพุทธศาสนา
จะอย่างไรก็ตาม เรื่องสั้นนี้
ก็แสดงออกมาให้ท่านได้ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงไปแห่งกาลเวลาและยุคสมัย
ทั้งทัศนะความคิดและบทบาทและอิทธิพลของพระพุทธศาสนาด้วยเช่นกัน
แม้ในอดีตมาตุฆาตเป็นเรื่องบาปและปัจจุบันก็เป็นไปเช่นนี้
แต่กระนั้นบทบาทพระพุทธศาสนาต่อการอธิบาย
ที่ไม่สามารถอธิบายโดยตัวของธรรมะได้อย่างเดียวไม่
จำเป็นที่จะต้องใช้หลักทางวิทยาศาสตร์และอื่น ๆ เข้าประกอบ
เราจะเห็นได้ในปัจจุบันว่า ไม่มีพระสงฆ์รูปใดที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ผู้กระทำมาตุฆาต
โดยมีความวิกลจริต
หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในอดีตย่อมมีการวิพากษ์วิจารณ์
ไม่ว่าผู้กระทำจะเป็นผู้วิกลจริตหรือไม่ก็ตาม
สิ่งเหล่านี้ที่ปรากฏต่อบทประพันธ์ของท่านศึกฤทธิ์
เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความคงอยู่ของพระพุทธศาสนา
และการปรับเปลี่ยนไปของคนในแต่ละยุคสมัย
หากเนื้อเรื่องเดียวกันนี้ มีในสมัยโบราณ อาจจะเป็นถกเถียงและเห็นชอบด้วย
แต่ด้วยเนื้อเรื่องที่อิงกับยุคสมัยปัจจุบัน จึงไม่แปลกที่จะมีผู้กล่าวว่า
การกระทำของละม่อมต้องพิจารณาจากองค์ประกอบอื่น ๆ ร่วมด้วย ว่ามูลเหตุเป็นเช่นใด
และการจะกล่าวว่าละม่อมผิดบาปนั้น เราผู้เป็นปุถุชนก็อาจจะไม่สามารถกล่าวตัดสินได้
ไม่ว่าทัศนะของผู้คนจะเป็นเช่นใด สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ การเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี
และไม่ควรเอาเป็นแบบอย่าง ของพฤติกรรมของตัวละคร
ในบทนี้
เนื่องจากการต้องการอธิบายความเป็นไปแห่งบทบาทและอิทธิพลของพระพุทธศาสนาต่อสังคมไทย
ดังนั้นการที่จะอธิบายโดยการโยงเพียงหลักธรรมกับสังคม
หรือการนำสังคมมาเปรียบเปรยเพียงอย่างเดียวก็หาเป็นการอธิบายคำตอบได้ดีไม่
ผู้เขียนจึงนำวิชาความรู้ที่ตนสนใจประกอบการเป็นผู้อ่านมามาก มาจัดเรียงถ้อยประโยคให้ออกมาเป็นบทหนึ่งในเอกสารรายงาน
ด้วยหวังว่าจะมีประโยชน์ต่อท่านผู้สนใจและใคร่พิจารณาสังคมและบทบาท
อิทธิพลของพระพุทธศาสนาในแง่มุมใหม่ ๆ
อ้างอิงจาก คึกฤท