ต่อจากตอนที่ ๑
ในมุมกลับกันที่ประเด็นปัญหาเด็กสมาธิสั้นเริ่มมีมากขึ้นนั้น
ผู้เขียนเห็นว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นควบคู่กับการมีเทคโนยีอำนวยความสะดวกต่าง ๆ
และเทคโนโลยีเพื่อการบันเทิงที่มีมากขึ้นทุกวัน เราอาจจะเรียกยุคนี้ว่า
“ยุครวดเร็วทันใจ”
เพราะเพียงปลายนิ้วสัมผัส ก็ได้ในสิ่งที่ต้องการ จึงไม่น่าจะแปลกใจนักกับการที่เด็กในยุคสมัยปัจจุบันมีปัญหาด้านสมาธิสั้นกันเพิ่มมากขึ้น
ผู้เขียนเชื่อลึก ๆ ว่าการที่เราปล่อยให้บุตรหลานเสพสื่อหรือมีเวลากับเกมส์
คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ การดูโทรทัศน์ หรืออื่น ๆ มากจนเกินไปนั้น
จะเป็นการกระตุ้นทำให้เกิดอาการสมาธิสั้นมากขึ้น
เราควรจัดช่วงระยะเวลาให้เพียงพอและมีขอบข่าย
ไม่เพียงแต่เป็นการลดความเสี่ยงจากภาวะสมาธิสั้นแล้ว
ยังเป็นผลดีอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้บุตรหลานฝึกสร้างความมีระเบียบวินัยในตนเอง
อีกด้วย
ในตำราดรุณศึกษานั้น จะแบ่งหมวดหมู่การเรียนออกเป็นกลุ่มพยัญชนะ ๓ หมวด
คืออักษรกลาง สูง และต่ำ ซึ่งการแบ่งกลุ่มพยัญชนะนี้ออกเป็น ๓ หมวดนั้น
ผู้เขียนจะยกบทความที่เกี่ยวข้องประกอบเพื่ออธิบายว่าเหตุใด
ครูบาอาจารย์ที่เขียนตำราภาษาไทย ท่านจึงแบ่งกลุ่มพยัญชนะออกเป็น ๓ หมวดอักษร
และการแบ่ง ๓ หมวดนี้ เป็นการแบ่งตามเสียงของกลุ่มอักษรจริงหรือ ?
เสริมเนื้อหา
ในตำราดรุณศึกษา
ชั้นเตรียมประถม ที่กำลังศึกษาอยู่นี้ ก็เริ่มต้นด้วยกลุ่มพยัญชนะ หมวดอักษรกลาง
อันประกอบด้วย
-อักษรกลาง ก จ
ฎ ฏ ด
ต บ ป
อ
-คำท่อง ไก่
จิก เฎ็ก (เด็ก) ฏาย (ตาย) เด็ก ตาย บน ปาก โอ่ง
ซึ่งบางตำราอาจจะมีวิธีการท่องที่แตกต่างกันออกไป วิธีการท่องจำนี้มิใช่ปัญหา
เพียงนักเรียนที่เรียนสามารถท่องจำและนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องนั้น
เป็นสิ่งที่สำคัญมากยิ่งกว่า
ตามหลักแล้วกลุ่มอักษรกลางนี้
เป็นเพียงกลุ่มอักษรเดียวเท่านั้นที่สามารถผันเสียงวรรณยุกต์ได้ถึง ๕ เสียง
นั้นก็คือ เสียงสามัญ (ไม่มีรูป) เสียงเอก (รูปเอก) เสียงโท (รูปโท) เสียงตรี (รูปตรี ) และเสียงจัตวา
(รูปจัตวา)
ที่ผุ้เขียนเขียนทั้งเสียงและรูปนั้น
เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบว่ากลุ่มอักษรกลางนี้ นอกจากสามารถผันเสียงวรรณยุกต์ได้ถึง
๕ เสียงแล้ว ทุกการผันเสียงวรรณยุกต์
อักษรกลางก็สามารถผันเสียงได้ถูกต้องตามเสียงที่ผัน กล่าวคือ ผันเสียงโท
รูปหรือเครื่องหมายที่ปรากฏก็เป็นเครื่องหมายหรือรูปไม้โท นั้นเอง (ที่ผู้เขียน
กล่าวดังนี้ ผู้อ่านจะเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อผู้เขียนกล่าวถึงกลุ่มอักษรสูงและต่ำ
และทั้งสองกลุ่มนี้ ผันเสียงวรรณยุกต์อีกเสียง ลงเครื่องหมายหรือรูปอีกเสียง
ซึ่งมีความแตกต่างจากกลุ่มอักษรกลางอย่างมาก )
ในตำราดรุณศึกษานั้น
ในช่วงหน่วยการเรียนรู้ที่ ๑-๔ นั้น ยังไม่มีการผันเสียงวรรณยุกต์
มีเพียงการนำพยัญชนะต้น จากลุ่มอักษรกลาง มาประสมสระ โดยมีกลุ่มการนำมาประสมดังนี้
-หน่วยที่ ๑ อักษรกลาง ๙ ตัว ประสมสระเสียงยาว ๔ ตัว โดยตัวสระเสียงยาว ๔ ตัวนั้นคือ สระ อา
อี อือ อู
-หน่วยที่ ๒ อักษรกลาง ประสมกับสระเสียงยาว อีก ๔ ตัว โดยเสียงสระยาวทั้ง
๔ ตัวนั้น คือ สระ เอ แอ โอ ออ
-หน่วยที่ ๓
อักษรกลางประสมกับสระเสียงสั้น อีก ๔ ตัว โดยเสียงสระเสียงสั้นทั้ง ๔
ตัวนั้นคือ สระ ใอ(ไม้ม้วน) ไอ (ไม้มลาย) เอา และอำ
-หน่วยที่ ๔ ซึ่งเป็นหน่วยสุดท้ายนั้น
จะเป็นการสอบซ้อม กล่าวคือการรวบรวมคำศัพท์ที่ได้ศึกษาในหน่วยที่ ๑ -๓ มาทบทวน
เพื่อวัดและประเมินผลในลำดับแรกว่า ผู้เรียนมีทักษะที่พัฒนาไปมากน้อยเพียงใด
หากท่านผู้อ่านได้พิจารณาแล้ว ท่านจะเห็นว่า ในคำศัพท์พื้นฐานเหล่านี้
ไม่ได้มีความยากหรือซับซ้อนเลย เป็นคำศัพท์ที่ง่ายและรวดเร็วต่อการเรียนรู้
ประเด็นหนึ่งที่น่าสงสัยและผู้เขียนเองก็มีข้อกังขาไม่แพ้ท่านผู้อ่าน คือ
เหตุเหตุตำราดรุณศึกษา
จึงมีลักษณะของการเขียนคำศัพท์ของแต่ละบทเป็นลักษณะการเขียนแบบคำศัพท์แต่ละคำ
เขียนเว้นวรรคกัน ตลอดเนื้อหา มีบางที่อาจะติดกัน
โดยลักษณะเด่นของภาษาไทย
หรือจะเรียกว่าเป็นลักษณะที่ยากแก่ผู้ศึกษาภาษาไทย อีกประการหนึ่ง นั้นก็คือ
การที่ภาษาไทย มีลักษณะการเขียนภาษาไทย เขียนรูปประโยค เป็นลักษณะของพลความต่าง ๆ
รวบรวมกันอยู่ในวรรคเดียวกัน
จนมีความสับสนเกิดขึ้นแก่ผู้ศึกษาโดยทั่วไปว่าคำที่เขียนติดต่อกันนั้น
อ่านอย่างไร อาทิ ปลาตากลม
ควรที่จะอ่านว่า ปลา –ตา-กลม หรือ ปลา-ตาก-ลม
เพราะความยากของลักษณะการเขียนของภาษาไทยนี้หรือไม่
ที่ทำผู้แต่งตำราเล่มนี้ แยกคำศัพท์ต่าง ๆ
แม้ว่าจะรวบรวมแต่งเป็นรูปประโยคแล้วก็ตาม
เมื่อผู้เขียนได้ลงสู่การสอนจริง กับนักเรียนที่มีปัญหาด้านภาษาไทย
ผู้เขียนเห็นว่า รูปแบบและลักษณะของการเขียนแยกคำนี้ มีทั้งในแง่ดีและแง่ร้าย แง่ดีที่ว่านี้ คือ ง่ายต่อการอ่านและการจำคำ
การออกเสียง และความหมายของผู้เรียน ยาก คือ ผู้สอนเมื่อสอนถึงบทหนึ่ง
ที่ผู้เรียนควรที่จะสามารถอ่านจับใจความได้แล้ว กลับมีปัญหาข้อบกพร่องที่ว่า ชินกับการอ่านแบบแยกคำมาโดยตลอด
เมื่อต้องพบกับประโยคที่ยาวและมีความต่อเนื่อง ทำให้ไม่สามารถอ่านได้
หรืออ่านได้แต่จับใจความสำคัญของประโยคนั้น ๆ ไม่ได้ ปัญหาจึงเกิดขึ้น
แล้วเราควรจะทำเช่นไร
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ที่ผู้เขียนเองก็ประสบเช่นเดียวกัน ?
เมื่อผู้เขียนพิจารณาจากตำราเรียนดรุณศึกษาแล้ว
แม้ว่าจะมีข้อด้อยประการที่ว่า ตำรามีการเขียนแยกคำศัพท์ แต่หากมองในแง่ดีแล้ว
ผู้เขียนเห็นว่าผู้เรียนส่วนมากได้ประโยชน์จากการอ่านแบบนี้ แต่กระนั้น
ผู้เขียนเองก็พิจารณาอยู่เนื่อง ๆ ว่า ปัญหาที่ผู้เรียนจะประสบนั้น ย่อมมีเช่นกัน
ผู้เขียนจึงไมได้ใช้เพียงตำราดรุณศึกษาเพียงอย่างเดียวในการเรียน แต่ใช้ตำราอื่น ๆ
หรือบทความอ่านอื่น ๆ ประกอบด้วยเสมอ
การเรียนการสอน
ของครูภาษาไทย
ในบางบริบทอาจจะไม่ได้มีความหมายว่าจะต้องตรงในเนื้อหาหลักสูตรเสมอไป
ผู้เขียนเห็นว่า ความสำคัญของภาษาไทย
คือครูผู้สอนจะทำอย่างไรให้ผู้เรียนไม่เหนื่อยและเบื่อในการเรียน
และจะทำอย่างไรให้ประเด็นปัญหาภาษาไทยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ ลดทอนปัญหาลง
บ้าง
ในบทที่
๑-๔ ของตำราเรียนภาษาไทย ดรุณศึกษา ชั้นเตรียมประถมศึกษา นี้ รูปแบบการเรียนการสอน
ของผู้เขียน จะไม่เน้นเพียงการอ่านออกเสียงให้มีความชัดเจน หรือการจำคำศัพท์ได้เพียงอย่างเดียว
แต่คือการอ่าน เขียน จำและเข้าใจความหมายของคำศัพท์นั้น ๆ
ผู้เขียนประสบปัญหานี้มาเช่นเดียวกัน เมื่อได้ทำการเรียนการสอนภาษาไทย
นั้นคือการที่ผู้เรียนสามารถอ่านออก เขียนได้ จำรูปสระ
วรรณยุกต์ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่เมื่อย้อนถามถึงความหมายของคำ
กลับไม่สามรถตอบได้ ลักษณะปัญหาประการนี้
ผู้เขียนเรียกว่า “การท่องนะโม”
“การท่องนะโม”
คือสภาวการณ์ที่ผู้เรียนไม่สามารถเข้าใจความหมายของคำศัพท์นั้นๆ ได้
แต่สามารถอ่าน เขียน และจำรูปแบบของ