โคมไฟล้านนา (ภูมิปัญญาการใช้ความร้อน)
ประวัติและความเป็นมา
โคมไฟหรือว่าวไฟ เกิดขึ้นเมื่อใด
ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด อาจเป็นเพียงคำเล่า หรือตำนาน
ดังที่พบในหนังสือประเพณีสบสองเดือนล้านนาไทยของ ศาสตราจารย์มณี พะยอมยงค์
สรุปไว้ว่า “โคมลอยที่ปล่อยตอนกลางคืน
จะใช้ก้อนไม้เป็นก้อนกลม ชุบด้วยนํ้ามันยางหรือนํ้ามันขี้โล้จนชุ่มแล้วนำไปมัดกับปากโคมลอย
เมื่อรมควันจนได้ที่แล้วจะจุดไฟที่ท่อนผ้า แล้วปล่อยโคมลอยขึ้นสู่อากาศ
โคมลอยจะลอยไปตามกระแสลม ดูเหมือนลักษณะดวงไฟ คล้ายดาวเคลื่อนคล้อยไปในเวหาอันงดงามน่าดูยิ่งนัก
คนล้านนาเชื่อกันว่า
การปล่อยโคมลอยเป็นการปล่อยเคราะห์ ปล่อยนามให้หมดไป
บ้างก็ว่าเป็นการบูชาเทวดาบนสวรรค์ บ้างก็ว่า ปล่อยเพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณี
แต่หากพิจารณาแล้วโคมลอยเกิดจากความคิดสร้างสรรค์
ประดิษฐ์เพื่อสนองความต้องการในความเชื่อของคนให้เกิดความสบายใจ
เป็นภูมิปัญญาของคนล้านนา ในการนำเอาความร้อนมาใช้พยุง ดันให้โคมลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
วิธีการทำ
ขั้นตอนการทำโคมไฟหรือว่าวไฟ
ขั้นตอนแรกจะนำไม้ไผ่มาจักตอกเป็นเส้นกลมยาวประมาณ ๓ เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง ๐.๕เซนติเมตร
นำเส้นตอกมาม้วนทับเหลื่อมกันให้ได้เส้นผ่าศูนย์กลาง ๑.๕ เมตร
ใช้ด้ายเหนียวพันหัวไม้ที่ทับกันให้แน่น จะได้วงไม้ขึ้นมาวงหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า “วงปาก” เตรียมไว้ หลังจากนั้น เลือกกระดาษว่าสีขาวเป็นแผ่นมาต่อกันเป็นผืนใหญ่แล้วนำมาม้วนเป็นวงตามขนาดของวงไม้ที่เตรียมไว้
แล้วใช้กาวติดริมต่อกันให้เป็นทรงกระบอกกลวง โดยให้วงไม้ อยู่ด้านใน แล้ววัดจากปากขึ้นไปประมาณ ๒ เมตร
นำกระดาษมาปิดปากด้านบนให้มิดชิดก็จะได้ตัวโคมไฟหรือว่าวไฟ เสร็จแล้วนำปากด้านล่างเข้าติดกับวงไม้ ไผ่ จนรอบเพื่อเป็นปากโคมไฟด้านล่าง
เมื่อเสร็จขั้นตอนนี้ก็จะได้โคมไฟหรือว่าวไฟ ๑ ลูก
จากนั้นก็ทำเชื้อเพลิง
สมัยโบราณจะใช้เศษผ้าทำเป็นก้อนชุบนํ้ามันชัน(ขี้ยา) โดยใช้ชัน(ขี้ยา)
เคี่ยวจนเหลว นำก้อนผ้าลงชุบเพื่อนำไปผูกกับโคมไฟ หากวิธีนี้ไฟไหม้ไม่หมด
ก็จะเป็นอันตรายกับบ้านเรือนได้ แต่ปัจจุบันช่างทำโคมไฟบางท่านได้เอากระดาษทิชชูมา
1 ม้วน แล้วทำการเคี่ยวขี้ผึ้งจนเหลว
เมื่อได้ที่จะนำเอากระดาษทิชชูจุ่มลงไปทั้งหมด รอสักครู่ให้กระดาษทิชชูซึมเนื้อกระดาษดีแล้ว
จึงยกออกมาตั้งไว้สักครู่ขี้ผึ้งเย็นลงก็จะได้ก้อนเชื้อเพลิง 1 ก้อน แล้วแบ่งออกเป็นสามท่อน นำแต่ละท่อนไปผูกกับโคมไฟ 1 ลูกต่อ ๑ ท่อน
ก้อนเชื้อเพลิงนี้จะให้ความร้อนประมาณเกือบชั่วโมง
แล้วไหม้จนหมดโคมไฟถึงจะตกลงสู่พื้นดิน ทำให้ไม่เกิดอันตราย
ต่อไปนำก้อนเชื้อเพลิงไปผูกกับโคมไฟ
จะใช้ลวดจำนวน ๒ เส้นนำไปผูกขวางเป็นเส้นผ่าศูนย์กลางที่ปากด้านล่าง
โดยใช้ปลายลวดผูกกับวงไม้ ให้เส้นลวดตัดกันเป็นกากบาท
จุดตัดตรงปลายเส้นลวดคือจุดศูนย์กลางของโคมไฟ นำก้อนเชื้อเพลิงไปวางบนจุดตัด
แล้วผูกไว้ให้แน่น แต่บางคนจะตัดลวดที่จุดตัด ลวดจะขาดออกเป็นสี่เส้น ตรงจุดกึ่งกลางปากโคมไฟและแล้วนำก้อนเชื้อเพลิงเข้าไปวางแล้วมัดด้วยเส้นลวดทั้งสี่ก็ได้เช่นกัน
การปล่อยโคมไฟ
สมัยโบราณจะมีคนช่วยพัดให้ลมเข้าสู่ตัวโคมจนพองแล้วจะจุดไฟ
ให้เปลวไปนำเอาอากาศขึ้นสู่เบื้องบนของโคมไฟ ตัวโคมไฟจะลอยขึ้น
แต่จะมีคนดึงไว้ก่อนเพื่อทดสอบความดันของลมร้อน ขณะเดียวกัน
คนที่เหลือจะรีบนำลูกเล่นมาผูกติดกับลวด ลูกเล่นดังกล่าวประกอบด้วย ปะทัด
ไฟที่ทำจากดินปืน แตกออกเป็นแสงตกลงมา เสร็จแล้วผูกสายสายชนวนให้แนบกับเชื้อเพลิง
การทำขั้นตอนนี้ต้องทำอย่างรวดเร็ว
เสร็จแล้วคนถือปากจะดังตัวโคมไฟมาทดสอบความดันลมอีกครั้งเมื่อเห็นว่าดึงดีแล้วจึงจะปล่อยขึ้น
ปัจจุบัน การปล่อยโคมไฟ
นอกจากจะปล่อยในตอนยี่เป็งของคนล้านนาแล้ว บางแห่งยังนิยมปล่อยในวันขึ้นปีใหม่
งานบุญศพในคืนสุดท้ายก่อนนำศพไปเผา บางแห่งปล่อยในงานขึ้นบ้านใหม่ งานบุญต่างๆ
คุณค่าของโคมไฟพอสรุปได้ดังนี้
- เป็นการแสดงออกของความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับการใช้ความร้อน
อากาศขยายตัวเป็นประโยชน์ต่อการนำโคมลอยขึ้น
- เป็นการรวมกลุ่มคนในยามคํ่าคืนได้ร่วมกันทำกิจกรรมนี้ที่มีประโยชน์
เป็นการพักผ่อนที่ไม่ข้องแวะกับอบายมุข
- เป็นที่พึ่งทางใจ
ทำให้เกิดความปีติในการทำบุญโดยเฉพาะคืนยี่เป็งล้านนา
เป็นกิจที่ทำขึ้นตามความเชื่อของบุคคลเพื่อเป็นพุทธบูชา
- เป็นสิ่งที่ทำให้บางคนเกิดมีอาชีพในการทำโคมไฟขายมีรายได้ที่บริสุทธิ์
โคมไฟจึงควรเป็นสิ่งคู่ล้านนาต่อไปอีกนาน