ประเภทของการเห่เรือ
ประเภทของการเห่เรือ โดย นางสาวพิมพ์พรรณ ไพบลูย์หวังเจริญ
![แก้ไขอ่านเขียนไทยไม่ออก เรียนพิเศษภาษาไทย เรียนอ่านเขียนไทยประถม เรียนพิเศษส่วนตัวภาษาไทย หาที่เรียนภาษาไทย ครูสอนพิเศษภาษาไทย หาครูสอนภาษาไทย สอนอ่านภาษาไทย สอนภาษาไทยเด็ก สอนภาษาไทย สอนพิเศษภาษาไทย เรียนอ่านภาษาไทย เรียนพิเศษสังคม เรียนพิเศษภาษาไทย เรียนพิเศษ ไทย สังคม รับสอนพิเศษภาษาไทย ติวภาษาไทย ครูสอนภาษาไทย ครูสอนพิเศษภาษาไทย ติวโอเน็ตสังคม ครูเดช O-NETสังคม ติวO-NETสังคมฟรี หาวิทยากรติวโอเน็ต แก้ไขอ่านเขียนไทยไม่ออก เรียนพิเศษภาษาไทย เรียนอ่านเขียนไทยประถม เรียนพิเศษส่วนตัวภาษาไทย หาที่เรียนภาษาไทย ครูสอนพิเศษภาษาไทย หาครูสอนภาษาไทย สอนอ่านภาษาไทย สอนภาษาไทยเด็ก สอนภาษาไทย สอนพิเศษภาษาไทย เรียนอ่านภาษาไทย เรียนพิเศษสังคม เรียนพิเศษภาษาไทย เรียนพิเศษ ไทย สังคม รับสอนพิเศษภาษาไทย ติวภาษาไทย ครูสอนภาษาไทย ครูสอนพิเศษภาษาไทย ติวโอเน็ตสังคม ครูเดช O-NETสังคม ติวO-NETสังคมฟรี หาวิทยากรติวโอเน็ต](https://lh3.googleusercontent.com/blogger_img_proxy/AEn0k_u0csCONOJmvKE8DIG-se4lH4uN4p4EEFa_e4E50rlq3msRTG1z05s1QAYWB8Gkj_x6tGlB43npgBLnRvwIDO4sXN9LDwDW9bHnJLJebL71OFIO-7KRvhNRHzzVCI1d4xsd3mDx3_O8qV9mM61Ny-kp=s0-d)
การเห่เรือของไทยสามารถจำแนกตามลักษณะความแตกต่างได้ ๒ ประเภท คือเห่เรือหลวง และเห่เรือเล่น
เห่เรือหลวง
คือ การเห่เรือเนื่องในการพระราชพิธีที่มีการจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค ทั้งอย่างใหญ่และอย่างน้อย เพื่อให้ริ้วกระบวนเรือที่จัดขึ้นเป็นพระราช-พาหนะในการเสด็จพระราชดำเนิน มีความพร้อมเพรียงเป็นระเบียบเรียบร้อย และสง่างาม โดยใช้บทเห่แต่ละลักษณะเป็นสัญญาณและกำกับจังหวะการพายให้พร้อมเพรียงกัน
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า การเห่เรือหลวงน่าจะได้ต้นเค้าจากประเทศอินเดีย โดยพราหมณ์เป็นผู้นำบทมนตร์ในตำราไสยศาสตร์ซึ่งแต่เดิมคงเป็นภาษาสันสกฤต เข้ามาเผยแพร่ ต่อมาก็เลือนกลายไป แต่ยังคงเรียกในตำราว่า “สวะเห่” “ช้าละวะเห่” และ “มูลเห่”
เห่เรือเล่น
ตามความหมายเดิม คือ การเห่เรือแบบไม่เป็นพิธีการของบุคคลทั่วไปเพื่อความสนุกสนานรื่นเริง และกำกับจังหวะในการพายเรือให้พร้อมเพรียงกัน การพายเรือเล่นของชาวบ้านนั้นมีจังหวะการพายเพียง ๒ อย่างเท่านั้น คือ พายจังหวะปกติ และพายจังหวะจ้ำ จึงทำให้การเห่แตกต่างกันไปตามจังหวะการพายด้วย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวถึงบทเห่เรือเล่นที่ใช้ในการพายจ้ำว่า “ตามที่สังเกตมาดูเหมือนไม่มีต้นบท บทอันใดฝีพายขึ้นใจก็เอามาใช้ร้องพร้อมๆ กัน เช่น “หุย ฮา โห่ ฮิ้ว” “มาละเหวยมาละวา” “สาระพา เฮโล” ส่วนบทเห่สำหรับพายปกติ นั้นใช้บทกลอน มีต้นบทขึ้นก่อน แล้วฝีพายรับต่อไป สันนิษฐานว่าอาจเป็นบทกลอนจากวรรณกรรมที่จำกันได้ขึ้นใจ หรืออาจว่าเป็นกลอนสดเช่นเดียวกับการเล่นเพลงเรือ หรือกลอนดอกสร้อยสักวาก็เป็นได้”
นอกจากนั้นผู้เชี่ยวชาญด้านการเห่เรือทั้งของกองทัพเรือและกรมศิลปากรยังได้กล่าวถึงการเห่เรือเล่นว่าเป็นการเห่แบบไม่เป็นพิธีการในงานต่างๆ ดังนี้
พันจ่าเอก เขียว ศุขภูมิ กล่าวว่า “เป็นการเห่ให้เห็นกระบวนเรือครบเต็มพิธีเพื่อให้ประชาชนชม บางครั้งอาจแทรกทำนองเพลงไทยลงไปเพื่อให้เกิดความครึกครื้น”
ครูแจ้ง คล้ายสีทอง ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (คีตศิลป์) ประจำ พ.ศ. ๒๕๓๘ กล่าวถึงการเห่เรือเล่นว่า “เป็นการเห่แบบของกรมศิลปากร เพื่อ ประกอบการร่ายรำ หรือเล่นละครตอนที่เกี่ยวกับการเห่เรือ”
กล่าวโดยสรุป การเห่เรือเล่นนอกจาก จะเป็นการร้องเพื่อประกอบการพายเรือเล่นให้สนุกสนานแล้ว ยังหมายรวมถึงการนำ แบบอย่างของการเห่เรือหลวงมาปรับปรุงเพื่อการสาธิต หรือใช้ประกอบการแสดงก็ได้ด้วย ดังปรากฏ หลักฐาน คือ
๑. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงประดิษฐ์ ดัดแปลงทำนองเห่เรือหลวงให้เข้ากับท่ารำ ของตัวละคร แล้วนำมาใช้ประกอบการแสดง ละครดึกดำบรรพ์ เรียกว่า“เห่เรือดึกดำบรรพ์” กรมศิลปากรได้บันทึกเสียงครูประเวช กุมุท ผู้เป็นต้นเสียง เก็บรักษาไว้เป็นตัวอย่าง
๒. พนักงานเห่เรือพระราชพิธีของกองทัพเรือ ประดิษฐ์เพิ่มเติมขึ้นเพื่อเป็นแนวทางการเห่แบบกองทัพเรือ โดยใช้ทำนองเห่เรือหลวงประสมกับการร้องเพลงต่างๆ เช่น เพลงเวสสุกรรม เพลงเต่าเห่ เพลงพม่าเห่ แล้วปรับจังหวะให้เข้ากับการพายเรือเพื่อความสนุกสนาน เรียกว่า “เห่เรือออกเพลงต่างๆ” สำหรับใช้สาธิตแสดงการเห่เรือและแสดง กระบวนเรือในโอกาสต่างๆ
ขอบคุณที่มา : สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 30