สมาธิสั้น คืออะไร ?
หลาย ๆ ท่านอาจจะไม่เข้าใจว่า “สมาธิสั้น”
คืออะไร วันนี้ครูเดชนำข้อมูลดี ๆ มานำเสนอครับ
โรคสมาธิสั้น
เป็นความผิดปกติของสมองประเภทหนึ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้กับทุกช่วงวัย
แต่ส่วนมากจะพบในวัยเด็ก ความรุนแรงของปัญหาก็แล้วแต่ว่าผู้ที่เป็นนั้นเป็นมากหรือน้อย สมาธิเป็นสิ่งที่จำเป็น
และเป็นสิ่งที่ทำให้เราทุกคนประสบความสำเร็จในการศึกษาเล่าเรียน
แต่สมาธินั้นก็มีความแตกต่างกันออกไปครับ สำหรับเด็กวัยอนุบาล
ช่วงเวลาที่มีสมาธิอาจจะน้อยกว่าช่วงอื่น ๆ คือประมาณ 20 นาที เด็กที่โตขึ้นมา ประมาณ 50 นาที ถึง 1 ชั่วโมง และผู้ใหญ่อาจจะมีสมาธิในการทำงานหรือจดจ่อในสิ่งใดได้มากกว่า
1 ชั่วโมง การมีสมาธิจึงเป็นเรื่องของช่วงวัยอีกด้วย
แต่ปัญหาสมาธิสั้นเกิดขึ้นจากสาเหตุอะไรนะ เรามาหาคำตอบกันครับ
จากหนังสือ “คู่มือครูและผู้ปกครองสำหรับเด็กสมาธิสั้น”
ของ ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์ ได้แบ่งกลุ่มเด็กที่มีปัญหาในด้านของอารมณ์และจิตใจ
(รวมถึงสมอง) ออกเป็น 5 ลักษณะ คือ
1.
บกพร่องทางสติปัญญา คือการที่เด็กคนนั้นมีพัฒนาการในการเรียนรู้ที่ช้ากว่าเด็กทั่วไป
เช่นอายุ 10 ขวบแต่การเรียนรู้เทียบเท่ากับเด็กอายุ 5-6
ขวบ หรือเราอาจจะเรียกเด็กกลุ่มนี้ว่า เด็กที่มีปัญหาเรียนรู้ช้ากว่าช่วงวัยก็ได้ครับ
2. สมาธิสั้น
หรือเรียกอีกอย่างว่า อาการอยู่ไม่เป็นสุข
เด็กกลุ่มนี้ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องมีความบกพร่องทางสติปัญญาก็ได้
อาจจะเป็นกลุ่มเด็กปกติ หรือมีปัญหา หรืออาจจะมีสติปัญญาที่สูงกว่าเด็กในช่วงวัยเดียวกันก็ได้
เด็กกลุ่มนี้จะแสดงออกในลักษณะของการที่ไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของตนเองได้
เมื่อเด็กไม่มีสมาธิ ก็เกิดปัญหาตามมา คือ
ทำให้จดจำเนื้อหาที่เรียนได้ไม่ดีเท่าที่ควร และก่อให้เกิดปัญหาต่อมาสู่การเรียน ซึ่งเด็กกลุ่มนี้นอกจากจะอาการสมาธิสั้นจะทำให้เกิดปัญหาต่อการเรียนรู้ส่วนตัวแล้ว
ยังส่งผลให้เกิดปัญหาต่อเด็กคนอื่น ๆ ที่อยู่ร่วมกันในห้อง
จึงเป็นปัญหาที่ครูอาจารย์ที่เกี่ยวข้องต้องร่วมกันหาทางแก้ไขครับ
3. ปัญหาการเรียนรู้ เด็กกลุ่มนี้จะมีความแตกต่างจากกลุ่มแรก
เพราะกลุ่มแรกนั้นเน้นไปในเด็กที่มีความผิดปกติ แต่กลุ่มที่ 3 นี้ เด็กจะเป็นกลุ่มเด็กปกติทั่วไป แต่การเรียนรู้ค่อนข้างช้า เหมือนกัน
การเรียนรู้ของเด้กกลุ่มนี้จำเป็นที่จะต้องมีสื่อการเรียนที่แตกต่างจากการเรียนรู้แบบปกติทั่วไปครับ
เด็กกลุ่มนี้ เรียกอีกอย่างว่า เด็กกลุ่ม L.D.
เด็กกลุ่มนี้จะประสบความสำเร็จในการเรียนเมื่อได้รับการพัฒนาทักษะด้วยเทคนิคพิเศษในการเข้าช่วยเหลือ
4. ความถนัดส่วนตัวของเด็กแต่ละคน เด็กแต่ละคนมีความถนัดที่แตกต่างกันไป
ความสามารถในการเรียนรู้ก็มีความแตกต่างเช่นเดียวกัน
ดังนั้นการเรียนรู้ของเด็กบางคนอาจจะเน้นการฟังเป็นหลัก
หรือบางคนอาจจะเป็นการอ่านเป็นหลัก
การจัดการเรียนรู้เพื่อให้เด้กแต่ละคนได้รับการเรียนรู้ที่ดี
ควรจะพิจารณาเป็นรายบุคคลด้วย
5. สภาวะเครียด สภาวะนี้เป็นได้ทุกช่วงวัย
ไม่ได้จำกัดอยู่ที่เด็กแต่เพียงอย่างเดียว
ความเครียดสูงก็นำไปสู่ปัญหาในเรื่องการของพัฒนาด้านการเรียนรู้เช่นเดียวกัน ครับ
สภาวะเด็กสมาธิสั้นนั้น
ผู้ปกครองเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด รองลงมาคือครูที่ใกล้ชิดนักเรียน สภาวะนี้สามารถแก้ไขได้
หากแก้ไขตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ของการเกิดปัญหา แต่หากผู้ปกครอง ครู ปล่อยปะละเลย
เมื่อเด็กเติบโตขึ้น การแก้ไขจะยากยิ่งกว่า และหากไปแก้ไขในช่วงวัยรุ่น
เด็กนั้นจะปฏิเสธการแก้ไข และอาจจะมีสภาวะก้าวร้าวเพิ่มเข้ามาด้วย
ลักษณะอาการ สำหรับในบทความนี้
ครูเดชจะเอาลักษณะอาการของเด็กที่เริ่มมีปัญหา ในช่วงวัยอนุบาล คือ 3-5 ขวบ
มาลองให้ท่านผู้สนใจได้ลองสังเกตพฤติกรรมของเด็ก หากมีอาการเช่นนี้
ควรที่จะทำการปรึกษานักจิตวิทยา
หรือคุณหมอที่เชี่ยวชาญเพื่อประเมินอาการอย่างเร่งด่วนครับ
ลักษณะอาการของเด็กที่มีสภาวะสมาธิสั้น
คือ
1. อยู่ไม่นิ่ง
จะมีอาการวิ่งเล่นตลอดเวลา และอาการวิ่งเล่นนั้น
เหมือนกับว่าเด็กมีพลังเหลือมากมาย
สามารถวิ่งเล่นได้ตลอดเวลาอย่างไม่รู้จักเหนื่อย
2. อาการมีมากขึ้น
ถึงขนาดในเวลารับประทานอาหารก็อยู่ไม่สุข
3. การเล่นของเล่น เด็กมันจะจดจ่อเล่นในของเล่นชนิดใด
ชนิดหนึ่งนาน ๆ ไม่ได้ หรือเมื่อเล่นกับเพื่อน ก็มักจะแย่งของเล่นผู้อื่น
ไม่ชอบการอดทนรอ เข้าคิวมาเป็น ไม่ชอบการแบ่งปัน เมื่อเล่นอะไรก็ตาม
เด็กที่มีปัญหามักจะเล่นเสียงดังกว่าเด็กคนอื่น ๆ
4. มีปัญหาในการรับคำสั่งง่าย
ๆ
ปัญหานี้ไม่ใช่ว่าเด็กไม่สามารถเข้าใจหรือสื่อสารได้ไม่ปกตินะครับ
แต่เด็กสื่อสารได้ เข้าใจได้ปกติ แต่เมื่อเราสั่งการเด็กอาจจะเพิงเฉย
ไม่สนใจหรือไม่เข้าใจ
5. เด็กจะมีอาการพูดมาก
ชอบพูดแทรก (ข้อนี้ผู้ปกครอง ครู จะพิจารณาด้วยนะครับ
เพราะบางครั้งอาจจะเป็นเพราะว่าเด็กคนนั้นไม่ได้รับการอบรมในด้านมารยาท
อาจจะไม่ใช่เด็กสมาธิสั้นครับ)
เมื่อเกิดพฤติกรรมนี้
ผู้ที่พบเห็นหรือสังเกตพฤติกรรมได้ชัดเจน ส่วนมากจะเป็นครูในโรงเรียน
เพราะเด็กจะเข้าสังคม และมีเพื่อน เด็กจึงจะมีการออกพฤติกรรมให้เห็นอย่างชัดเจน
มากกว่าครับ ดังนั้นหากผู้ปกครองท่านใดได้รับแจ้งจากครูประจำห้อง หรือครูประจำวิชา
ผู้ปกครองต้องสนใจในปัญหานี้มากขึ้นนะครับ เพราะครูเองมีนักเรียนให้ดูแลมากกว่า 10 คนขึ้นไป การดูแลมักจะไม่ทั่วถึง
หรือดูแลได้เฉพาะบางอย่างเท่านั้น
ผู้ปกครองคือผู้ที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาศักยภาพของเด็กครับ
อย่าให้เงินมีความสำคัญมากเกินกว่าบุตรหลานของท่าน เมื่อท่านสร้างชีวิตนี้ขึ้นมา
ท่านจะต้องดูแล แต่ไม่ใช่โอบอุ้มจนไม่รู้จักความลำบาก และต้องไม่เห็นว่าบุตรหลานของตนดีจนคนอื่นด้อยในสายตา
เมื่อใดที่ท่านมีทัศนะเช่นนี้ ท่านกำลังทำร้ายบุตรหลานของท่านครับ
ครูเดชขอฝากอีกเรื่องก่อนจบกันไป ครูเดชเป็นห่วงเรื่องมารยาทของเด็กมากครับ
เด็กในยุคนี้เปลี่ยนไปมาก ถ้าบทความที่ครูเดชเรียบเรียงมา มาความน่าสนใจ และอยากให้ครูเดช
อ่านหนังสือต่อและนำมาเรียบเรียงให้เป็นประโยชน์ ฝากติดตามครูเดชได้ที่เพจครูเดชนะครับ
แล้วครูเดชจะหาเวลามานั่งเขียนเรียบเรียงอีกครั้งนะครับ
ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือ คู่มือครูและผู้ปกครองสำหรับเด็กสมาธิสั้น ของ ศันสนีย์
ฉัตรคุปต์
เรียนสังคมต้องครูเดช #ครูเดชสังคม