บั้งไฟ ศิลปะงานช่าง
ในศาสนา
ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ
(จาก ศิลปะการตกแต่งลวดลายบั้งไฟอีสาน โครงการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ศิลปะการตกแต่งลวดลายบั้งไฟอีสาน คณะศิลปประยุกต์และการออกแบบ
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ปีพ.ศ. 2553 )
ประวัติความเป็นมาของบุญบั้งไฟ
ประเพณีบุญบั้งไฟมีมาแต่ครั้งไหนยังหาหลักฐานที่แน่ชัด
มีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับความเป็นมาของประเพณีบุญบั้งไฟในแง่ต่างๆ ไว้ดังนี้
ความเชื่อของชาวบ้าน
ชาวบ้านเชื่อว่ามีโลกมนุษย์ โลกเทวดา
และโลกเทวดา มนุษย์อยู่ใต้อิทธิพลของเทวดา
การรำผีฟ้าเป็นตัวอย่างที่แสดงออกทางด้านการนับถือเทวดา และเรียกเทวดาว่า “แถน” เมื่อถือว่ามีแถนก็ถือว่า
ฝน ฟ้า ลม เป็นอิทธิพลของแถน หากทำให้แถนโปรดปราน มนุษย์ก็จะมีความสุข
ดังนั้นจึงมีพิธีบูชาแถน
การจุดบั้งไฟก็อาจเป็นอีกวิธีหนึ่งที่แสดงความเคารพหรือส่งสัญญาณความภักดีไปยังแถน
ชาวอีสานจำนวนมากเชื่อว่าการจุดบั้งไฟเป็นการขอฝนจากพญาแถน และมีนิทานปรัมปราเช่นนี้อยู่ทั่วไป
แต่ความเชื่อนี้ยังไม่พบหลักฐานที่แน่นอน
นอกจากนี้ในวรรณกรรมอีสานยังมีความเชื่ออย่างหนึ่งคือ
เรื่องพญาคันคาก หรือคางคก
พญาคันคากได้รบกับพญาแถนจนชนะแล้วให้พญาแถนบันดาลฝนลงมาตกยังโลกมนุษย์
ความหมายของบั้งไฟ
คำว่า “บั้งไฟ” ในภาษาถิ่นอีสานมักจะสับสนกับคำว่า
“บ้องไฟ” แต่ที่ถูกนั้นควรเรียกว่า”บั้งไฟ”
ดังที่ เจริญชัย ดงไพโรจน์ ได้อธิบายความแตกต่างของคำทั้งสองไว้ว่า
บั้งหมายถึง สิ่งที่เป็นกระบอก
เช่น บั้งทิง สำหรับใส่น้ำดื่ม หรือบั้งข้าวหลาม เป็นต้น
ส่วนคำว่า บ้อง หมายถึง สิ่งของใดๆ
ก็ได้ที่มี ๒ ชิ้น มาสวมหรือประกอบเข้ากันได้ ส่วนนอกเรียกว่า บ้อง
ส่วนในหรือสิ่งที่เอาไปสอดใสจะเป็นสิ่งใดก็ได้ เช่น บ้องมีด บ้องขวาน บ้องเสียม
บ้องวัว บ้องควาย ดังนั้น คำว่า บั้งไฟ ในภาษาถิ่นอีสานจึงเรียกว่า บั้งไฟ
ซึ่งหมายถึงดอกไม้ไฟชนิดหนึ่ง มีหางยาวเอาดินประสิวมาคั่วกับถ่าน
ไม้ตำให้เข้ากันจนละเอียดเรียกว่า
หมื่อ (ดินปืน) และเอาหมื่อนั้นใส่กระบอกไม้ไผ่ตำให้แน่นเจาะรูตอนท้าย ของบั้งไฟ เอาไผ่ท่อนอื่นมัดติดกับกระบอกให้ใส่หมื่อโดยรอบ
เอาไม้ไผ่ยาวลำหนึ่งมามัดประกบต่อออกไปเป็นหางยาว สำหรับใช้ถ่วงหัวให้สมดุลกัน
เรียกว่า “บั้งไฟ” ในทัศนะของผู้วิจัย บั้งไฟ คือการนำเอากระบอกไม้ไผ่ เลาเหล็ก
ท่อเอสลอน หรือเลาไม้อย่างใดอย่างหนึ่งมาบรรจุหมื่อ (ดินปืน)
ตามอัตราส่วนที่ช่างกำหนดไว้แล้ว
ประกอบท่อนหัวและท่อนหางเป็นรูปต่างๆ
ตามที่ต้องการ เพื่อนำไปจุดพุ่งขึ้นสู่อากาศ จะมีควันและเสียงดัง
บั้งไฟมีหลายประเภท ตามจุดมุ่งหมายของประโยชน์ในการใช้สอย
ในทางศาสนาพราหมณ์
การบูชาเทพเจ้าด้วยไฟ
ถือว่าเป็นการบูชาเทพเจ้าเบื้องบนสวรรค์ ดังนั้น
การจุดบั้งไฟเป็นการละเล่นอีกอย่างหนึ่งและเป็นการบูชาเทพเจ้า
เพื่อให้พระองค์บันดาลในสิ่งที่ตนต้องการ
ในทางศาสนาพุทธ
มีการฉลองและบูชาในวันวิสาขบูชากลางเดือนหก
มีการทำดอกไม้ไฟในแบบต่างๆ ทั้งไฟน้ำมัน ไฟธูปเทียนและดินประสิว
ในงานนี้มีการรักษาศีล การให้ทาน การบวชนาค การอัดทรง และนิมนต์พระเทศน์อานิสงฆ์
ลวดลายในบั้งไฟ
ลายบั้งไฟ : ใช้ลายศิลปไทย คือ ลายกนก
อันเป็นลายพื้นฐานในการลับลายบั้งไฟ
โดยช่างจะนิยมใช้กระดาษดังโกทองด้านเป็นพื้นและสีเม็ดมะขามเป็นตัวสับลาย
เพื่อให้ลายเด่นชัดในการตกแต่งเพื่อให้ความสวยงาม
ตัวบั้งไฟ : มีลูกโอ้จะใช้ลายประจำยาม ลายหน้าเทพพนม
ลายหน้ากาล ลูกเอ้ใช้ลายประจำยาม ก้ามปูเปลว และลายหน้ากระดาน ฯลฯ
กรวยเชิง : เป็นลวดลายไทยที่เขียนอยู่เชิงยาบที่ประดับพริ้วลงมาจากช่วงตัวบั้งไฟ
ยาบ : เป็นผ้าประดับใต้เลาบั้งไฟ
จะสับลายใดขึ้นอยู่กับช่างบั้งไฟนั้น เช่น ลายก้านขูดลายก้านดอกใบเทศ
ตัวพระนาง : เป็นรูปลักษณ์สื่อถึงผาแดงนางไอ่
หรือตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ พระลักษณ์ พระราม เป็นต้น
กระรอกเผือก : ท้าวพังคี แปลงร่างมาเพื่อให้นางไอ่หลงใหล
ปล้องคาด : ลายรักร้อย ลายลูกพัดใบเทศ ลายลูกพัดขอสร้อย
เป็นต้น
เกริน : เป็นส่วนที่ยื่นออกสองข้างของบุษบก
เป็นรูปรอนเบ็ดลายกนก สำหรับตั้งฉัตรท้ายเกริน ราชรถ-ประดับส่วนท้ายของหางบั้งไฟ
บุษบก : เป็นองค์ประกอบไว้บนราชรถ
เพื่อสมมุติให้เป็นปราสาทผาแดงนางไอ่
ต้างบั้งไฟ : ลายกระจังปฏิญาณ ลายก้านขด ลายพุ่มข้าวบิณฑ์
ลายประกอบตกแต่งอื่นๆ : ลายกระจังตั้ง กระจังรวน
กระจังตาอ้อย ลายน่องสิงห์ บัวร่วน กลีบขนุน
บุญบั้งไฟ นิยมทำกันในเดือนหก
ถือเป็นประเพณีสำคัญที่จะขาดไม่ได้ เพราะตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน
ชาวอีสานมีความเชื่อว่า ถ้าปีใดไม่จัดงานบุญบั้งไฟ ฟ้าฝนก็จะไม่ตกต้องตามฤดูกาล
เกิดความแห้งแล้ง ไม่มีน้ำทำนา แต่ถ้าปีใดจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ
ฟ้าฝนก็จะตกต้องตามฤดูกาล เกิดความอุดมสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัย
งานบุญบั้งไฟจึงถือเป็นงานประเพณี ประจำปีที่สำคัญของชาวอีสาน
พอใกล้ถึงวันงานชาวอีสานไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็จะกลับบ้านไปร่วมงานบุญบั้งไฟซึ่งเป็นงานที่สร้างความรักความสามัคคีของคนท้องถิ่นเป็นอย่างดี
วัตถุประสงค์การจัดงานบุญบั้งไฟ
๑. เป็นการบูชาพระธาตุเกศแก้วจุฬมณีบนสวรรค์
๒. เป็นการขอฝน
ขนาดและน้ำหนักของบั้งไฟ
ก. บั้งไฟร้อย มีน้ำหนักดินปืนหรือดินดำประมาณ ๓ กก.
ข. บั้งไฟหมื่น มีน้ำหนักดินปืนหรือดินดำประมาณ ๑๒ กก.
ค. บั้งไฟแสน มีน้ำหนักดินปืนหรือดินดำประมาณ ๑๒๐ กก.
ง. บั้งไฟล้าน มีน้ำหนักดินปืนหรือดินดำประมาณ ๕๐๐ กก.
ขั้นตอนการทำบั้งไฟ
การทำบั้งไฟในสมัยก่อนจะใช้ไม้ไผ่ลำขนาด ใหญ่ที่สุด ทะลวงปล้องให้ถึงกัน
ภายนอกจะใช้ตอกไม้ไผ่ถักเป็นเชือกมัดรอบลำไผ่ให้แน่นเพื่อไม่ให้ลำไผ่แตก
ส่วนหัวปล้องสุดท้ายจะถูกอุดด้วยแผ่นไม้ หนาพอควร
แล้วทำการอัดบรรจุหมื่อ (ดินปืน) ให้แน่น ด้วยการตำ
หรือใช้คานดีดคานงัด (สมัยใหม่ใช้แม่แรง ยกล้อรถบรรทุกแทนสะดวกกว่ากันดังภาพซ้ายมือ)
ยุคสมัยเปลี่ยนไปจากลำไผ่กลายมาเป็นท่อเหล็กหรือท่อประปา
(ซึ่งอันตรายมากเมื่อมีการระเบิดใส่ผู้คนอย่างที่เป็นข่าว)
ตอนหลังหันมาใช้ท่อพีวีซีแทนซึ่งก็ยังเป็นอันตรายอยู่ดี จากการบูชาแถนมาเป็นการพนันขันต่อเพื่อการเดิมพัน
จำนวนบั้งไฟที่จุดในแต่ละที่จึงมีจำนวนมาก
และสร้างความเสียหายต่อชุมชนในทิศที่บั้งไฟถูกจุดออกไป
(เพราะสามารถไปไกลได้หลายสิบกิโลเมตร)
นอกจากบั้งไฟแล้ว ยังมีการทำพลุ
พะเนียง ดอกไม้ไฟ ตะไล (เพื่อจุดในการแห่ร่วมด้วย)
นอกจากนั้นตัวบั้งไฟยังต้องมีการประดับตกแต่งอย่างสวยงามเรียกว่า การเอ้
ซึ่งก็เป็นฝีมือของพระอีกเช่นกัน