อีก 10 ปี กทม. จะจมอยู่ใต้น้ำ
นักวิชาการเผยไม่เกิน 10 ปี กทม.จะจมอยู่ใต้น้ำ แนะรัฐบาลย้ายเมืองหลวง สร้างเขื่อนกั้นเมือง ป้องกันจมทะเล

จากกรณีที่องค์การกองทุนสัตว์ป่าสากล (World Wildlife Fund) เปิดเผยผลการศึกษาสภาพภูมิอากาศของเมืองใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่ง กทม.ติดโผเมืองใหญ่ที่มีความเสี่ยงสูง คือ ระดับ 5 ที่จะเกิดภัยธรรมชาติเนื่องจากภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับนครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม และเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ได้มีนักวิชาการออกมาสนับสนุนผลการศึกษาและหวาดวิตกกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นนั้น
นายพิจิตต รัตตกุล ผอ.ศูนย์ป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย( Asian Disaster Preparedness Center-ADPC) กล่าวว่า ภัยธรรมชาติที่อาจจะเกิดขึ้นในพื้นที่ กทม.นั้นตามรายงานการติดตามของศูนย์เอดีพีซีพบว่า จะมี 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นได้คือ ปริมาณน้ำทะเล น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นดินได้นานกว่าปกติ และกระแสลมที่มีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งพื้นที่ กทม.นั้นถือว่าเป็นพื้นที่ต่ำ และขณะนี้พบว่าระดับความสูงของพื้นดินนั้นสูงเพียง 40 เซนติเมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ซึ่งจะทำให้เกิดปรากฎการณ์น้ำทะเลหนุนสูง น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาหรือคลองเอ่อล้น เข้าท่วมพื้นที่ได้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีสัญญาณเตือนแล้วคือ แผ่นดิน กทม.ในเขตบางขุนเทียนถูกกระแสลม และคลื่นซัดแผ่นดินหายไป ซึ่งตามรายงานพบว่าระยะเวลา 1 ปี พื้นดินเขตบางขุนเทียนถูกกระแสลม และถูกคลื่นกัดเซาะหายไปประมาณ 6-7 เมตรแล้ว ซึ่งวิธีที่ตนเคยเสนอคือการสร้างเขื่อน สร้างคันกั้นน้ำในพื้นที่เสี่ยงของ กทม. และจังหวัดรอบข้างยังถือว่าเป็นวิธีแก้ไขเฉพาะหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งทำ
ด้าน ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา นักวิทยาศาสตร์ กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า สิ่งที่ตนเคยคาดการณ์ไว้ว่าประเทศไทยจะมีหิมะตก โดยเฉพาะทางบนภูเขาทางภาคเหนือไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมาย ขณะนี้ขาดเพียงความชื้นเท่านั้น ขณะที่พื้นที่กรุงเทพฯ ถือเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยธรรมชาติ เนื่องจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเรื่อยๆ จนในอนาคตกรุงเทพฯ จะอยู่ใต้น้ำทะเล รวมถึงจังหวัดอื่นๆ ด้วย จากนี้ไม่เกิน 10 ปี จะเริ่มเห็นอย่างชัดเจน ดังนั้น กทม.ควรเตรียมความพร้อมในการย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่อื่น ซึ่งสถานที่ที่ปลอดภัยและมีความเหมาะสมที่สุด คือ อีสานใต้ เพราะสูงจากระดับน้ำทะเลเกินกว่า 100 เมตร และไม่มีรอยร้าวในแผ่นดิน หากไม่ย้ายควรวางแผนสร้างเขื่อนในอ่าวไทย ความสูง 30 เมตร ตั้งแต่สัตหีบ จ.ชลบุรี ถึง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อสูบน้ำออกไปข้างนอก จึงจะสามารถป้องกันไม่ให้น้ำทะเลทะลักเข้ามา ทั้งนี้ เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญและเร่งศึกษาโดยเร็ว หากไม่ดำเนินการน้ำเค็มจะเริ่มเข้ามาในพื้นที่ กทม. และเมื่อน้ำเค็มเข้าสู่ระบบประปา ประชาชนจำนวนมากจะได้รับความเดือดร้อน
“รัฐบาลต้องรีบดำเนินการว่าจะเก็บรักษาจังหวัดทางภาคกลางไว้หรือจะย้ายเมืองหลวงไปที่อื่น หากไม่ย้ายก็ต้องสร้างเขื่อนในอ่าวไทยเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำทะเลเข้ามา เพราะน้ำทะเลจะสูงขึ้นเรื่อยๆ หากไม่รีบทำจังหวัดในภาคกลาง ทั้งกรุงเทพฯ และโบราณสถานสำคัญใน จ.อยุธยา จะจมอยู่ใต้น้ำทะเลทั้งหมด วันนี้รัฐบาลควรเลิกทะเลาะกันได้แล้ว และรีบตัดสินใจไม่อย่างนั้นจะไม่ทันการณ์ และการที่จะย้ายรัฐสภาไปอยู่ที่เกียกายก็ไม่ดีเพราะจะไม่เกิดผลอะไร ควรย้ายไปในที่ๆ เมืองหลวงใหม่จะไปอยู่” ดร.อาจอง กล่าว
ขอบคุณที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์