ดรุณศึกษายังจำเป็นสำหรับนักเรียนยุคใหม่อีกหรือไม่
? 3
จากตอนที่แล้ว ที่จบกันไปแบบดื้อ
ๆ ที่บอกกับท่านผู้อ่านไปว่า เด็กประสมพยัญชนะ สระ ไม่ได้ก็พาเด็กประสม
จนบางท่านโมโหครูเดชคนนี้เสียแล้ว
555 แต่กระนั้นสิ่งที่ผมเรียนไปก็เป็นสิ่งที่ถูกที่สุดแล้วครับ เพราะเด็กก็คือเด็กจะให้ประสมเองเป็นเลยทันทีก็ใช่เรื่อง
การที่เราต้องช่วยพวกเขาจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
และการที่เด็กประสมคำไม่ได้ในเบื้องต้น ท่านผู้สอนก็อย่าพึ่งกังวลใจไปครับ
ทุกอย่างต้องใช้เวลา ยิ่งเป็นภาษาแล้ว การพัฒนาการต้องค่อย ๆ พัฒนาครับ
และไม่ควรจะภูมิใจหากมีท่านจิตแพทย์หรือผู้เชียวชาญทดสอบแล้วบอกว่าบุตรหลานสามารถเรียนรู้ได้ถึง
7-8 ภาษา
แล้วท่านก็ยัดเยียดภาษาสารพัด
จนในที่สุดพวกเขาก็ไม่ได้เลยสักภาษา ที่ท่านผู้เชี่ยวชาญกล่าว
อาจจะไม่ได้ต้องการให้ท่านไปบังคับให้บุตรหลานเรียนสารพัดภาษา แต่แค่กล่าวถึงทักษะที่เด็กอาจจะมีได้
ผมเองคิดว่าอย่างนั้นครับ
การเรียนภาษาไทยหรือการแก้ไขปัญหาการอ่านเขียนไทยไม่คล่องก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องใช้เวลาเช่นเดียวกันครับ
กลับมาที่คำถามที่ค้างคาไว้เมื่อบทที่แล้ว ที่อาจจะมีผู้ข้องใจว่า การฝึกคัดลายมือ
ควรฝึกให้เด็กคัดให้ดีเสียก่อนแล้วจึงใช้ตำราดรุณศึกษาในการสอน
ผมต้องเรียนอย่างนี้ว่า อาจจะไม่จำเป็นเสมอไปก็ได้ครับ
เวลาผมเข้าไปสอนนักเรียนที่มีปัญหาการอ่านเขียนไทยไม่คล่อง
หากเป็นเด็กที่โตแล้วแต่มีปัญหาผมจะให้เค้าทำควบคู่กันครับ
เพราะเป็นการกระชับเวลาให้รวดเร็วขึ้น ส่วนนักเรียนในช่วงวัยเตรียมอนุบาล หรือ
อนุบาล ซึ่งพอมีเวลาอยู่บ้างนั้น ผมเองจะให้เด็กฝึกคัดลายมือ ฝึกจำพยัญชนะ
จำสระในเบื้องต้นก่อนครับ
อาจจะมีการนำพาท่องการออกเสียงประสมระหว่างพยัญชนะและสระเข้าด้วยกันร่วมด้วย
แต่อย่าลืมไปอีกสิ่งหนึ่งครับว่า การสอนเด็กในวัยเริ่มเรียนรู้นั้น
ต้องพยายามซ้ำทบทวนเนื้อหาอยู่โดยตลอดครับ เพราะเราไม่ต้องเร่งรีบ
อย่างที่บอกไปครับ ว่าภาษาเป็นสิ่งที่ต้องค่อย ๆ พัฒนาไปทีละก้าว
การก้าวที่มั่นคงจะปูทางไปสู่การเรียนรู้ทางภาษาที่เชี่ยวชาญ
การเรียนและพัฒนาการทางภาษาไทยได้ดี
ย่อมส่งผลต่อการเรียนภาษาอื่น ๆ ให้ได้ดียิ่งขึ้น หากท่านผู้อ่านอยากทราบว่าเพราะอะไร
ติดตามได้ในบทที่ 4 ครับ
ท่านสามารถอ่านทวนเนื้อหาที่ลงในเว็บไซต์ได้ดังนี้ครับ