ขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.ku.ac.th/e-magazine/february48/know/samati.html
โรคสมาธิสั้นคือ กลุ่มอาการที่เกิดขึ้นตั้งแต่วัยเด็ก (ก่อนอายุ 7 ขวบ)
ซึ่งจะมีผลกระทบต่อพฤติกรรม อารมณ์ การเรียน และการเข้าสังคมกับผู้อื่นของเด็ก
กลุ่มอาการนี้ได้แก่ ขาดสมาธิ (
attention
deficit), การขาดความสามารถในการควบคุมตัวเอง (impulsivity),
อาการซน (hyperactivity)
เด็กบางคนอาจจะมีอาการซนและการขาดความสามารถในการควบคุมตัวเองเป็นอาการหลัก
ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กผู้ชาย หรือบางคนอาจจะมีอาการขาดสมาธิเป็นปัญหาหลัก
พบได้บ่อยพอ ๆ กันในเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย
โรคสมาธิสั้นนี้พบได้บ่อยในทุกประเทศทั่วโลก ในต่างประเทศพบว่าประมาณ 3-5
เปอร์เซ็นต์ของเด็กในวัยเรียน เป็นโรคสมาธิสั้น
จะสังเกตได้อย่างไรว่าเด็กเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่
1. การขาดสมาธิ (attention deficit) โดยสังเกตพบว่าเด็กจะมีลักษณะดังนี้
ไม่สามารถทำงานที่ครู
หรือพ่อแม่สั่งจนสำเร็จ
ไม่มีสมาธิในขณะทำงานหรือเล่น
ดูเหมือนไม่ค่อยฟังเวลาพูดด้วย
ไม่สามารถตั้งใจฟัง
และเก็บรายละเอียดได้ ทำให้ทำงานผิดพลาดบ่อย
ไม่ค่อยเป็นระเบียบ
วอกแวกง่าย
ขี้ลืมบ่อย ๆ
มีปัญหาหรือพยายามหลีกเลี่ยงงานที่ต้องใช้ความคิดหรือสมาธิ
ทำของใช้ส่วนตัวหรือของใช้ที่จำเป็นสำหรับงานหรือการเรียนหายอยู่บ่อย ๆ
2. การซน (hyperactivity) และการขาดความสามารถในการควบคุมตนเอง
(impulsivity) เด็กจะมีลักษณะดังนี้
ยุกยิก อยู่ไม่สุข
นั่งไม่ติดที่ ลุกเดินบ่อย ๆ
ขณะอยู่ที่บ้านหรือในห้องเรียน
ชอบวิ่ง หรือปีนป่ายสิ่งต่าง ๆ
พูดมาก พูดไม่หยุด
เล่นเสียงดัง
ตื่นตัวตลอดเวลา หรือดูตื่นเต้นง่าย
ชอบโพล่งคำตอบเวลาครูหรือพ่อแม่ถาม
โดยที่ยังฟังคำถามไม่จบ
รอคอยไม่เป็น
ชอบขัดจังหวะหรือสอดแทรกเวลาผู้อื่นกำลังพูดอยู่
หากเด็กมีลักษณะในข้อ 1 หรือ 2 รวมกันมากกว่า 6 ข้อ
อาการเด็กของท่านมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นโรคสมาธิสั้น
การรักษาโรคสมาธิสั้นให้มีประสิทธิภาพสูงสุดคือการผสมผสานการรักษาหลายด้านดังนี้
1. การรักษาทางยา ยาที่ใช้รักษาโรคสมาธิสั้นเป็นยาที่ปลอดภัย
มีผลข้างเคียงน้อยและมีประสิทธิภาพในการรักษาสูง ยาจะช่วยให้เด็กมีสมาธิดีขึ้น
ซนน้อยลง ดูสงบขึ้น มีความสามารถในการควบคุมตัวดีขึ้น
และอาจช่วยให้ผลการเรียนดีขึ้น ผลที่ตามมาเมื่อเด็กได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีคือ
เด็กจะมีความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง (seft-esteem) ดีขึ้น และมีความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือคนรอบข้างดีขึ้น
2.
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการช่วยเหลือทางด้านจิตใจสำหรับเด็กและครอบครัว
ผู้ปกครองและครูของเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นจำเป็นต้องเรียนรู้เทคนิคที่ถูกต้องเพื่อช่วยในการจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมบางอย่างของเด็ก
การตีหรือการลงโทษทางร่างกาย เป็นวิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ได้ผล
และจะมีส่วนทำให้เด็กมีอารมณ์โกรธหรือแสดงพฤติกรรมต่อต้านและก้าวร้าวมากขึ้น
วิธีการที่ได้ผลดีกว่าคือ การให้คำชมหรือรางวัล (positive
reinforcement) เมื่อเด็กแสดงพฤติกรรมที่ถูกต้องและเหมาะสม
หรือควบคุมพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม โดยการงดกิจกรรมที่เด็กชอบหรือตัดสิทธิอื่น ๆ (negative
reinforcement)
3. การช่วยเหลือทางด้านการเรียน
เด็กสมาธิสั้นส่วนใหญ่จะมีปัญหาการเรียนหรือเรียนได้ไม่เต็มศักยภาพร่วมด้วย
ดังนั้นครูจึงมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือเด็กสมาธิสั้นให้เรียนได้ดีขึ้น
เมื่อเด็กโตขึ้น เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นมีโอกาสหายได้หรือไม่
เมื่อผ่านวัยรุ่นประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์
ของเด็กสมาธิสั้นมีโอกาสหายจากโรคนี้ และสามารถเรียนหนังสือหรือทำงานได้ตามปกติ
โดยไม่ต้องรับประทานยา
ส่วนใหญ่ของเด็กสมาธิสั้นจะยังคงมีความบกพร่องของสมาธิอยู่ในระดับหนึ่ง ถึงแม้ว่าเด็กดูเหมือนจะซนน้อยลง
และมีความสามารถในการควบคุมดีขึ้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
บางคนสามารถปรับตัวและเลือกงานที่ไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิมากนัก
ก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จและดำเนินชีวิตได้ตามปกติ
บางคนอาจจะยังคงมีอาการของโรคสมาธิสั้นอยู่มาก ซึ่งจะมีผลเสียต่อการศึกษา การงาน
และการเข้าสังคมกับผู้อื่น
ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
เรียนสังคมต้องครูเดช #ครูเดชสังคม